ดวงตาเห็นธรรม 8
พระอาจารย์เมธา ชาตเมโธ
๑. สันทิฏฐิโก เห็นได้ด้วยปัญญาตนเอง ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น
๒. อกาลิโก ทำเมื่อไรได้รับผลทันทีไม่ต้องรอเวลา
๓. เอหิปัสสิโก เรียกให้มาดูความจริงกันได้ พิสูจน์ได้
๔. โอปนยิโก ทำให้มีขึ้นในใจตนเองได้
๕. ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน รู้แทนกันไม่ได้
เมื่อตนเองรู้เองเห็นเองแล้ว (สันทิฏฐิโก) ก็ไม่ต้องเชื่อใครพูด ไม่ต้องเชื่อเขาว่าอีกต่อไป และทุกคนจะต้องทำเอง ผู้รับประทานอาหารเองย่อมรู้รสอาหารเอง ผู้อื่นจะทานอาหารแต่ให้ผู้อื่นรู้รสแทนไม่ได้ ผู้ใดต้องการจะรู้รสอาหารผู้นั้นจะต้องทานเอง ให้กันก็ไม่ได้ จะใช้เงินซื้อเอาไม่ได้ จะให้ผู้อื่นทำแทนเราก็ไม่ได้ ดังมีพุทธภาษิตว่า “ความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์นั้นเป็นของจำเพาะตน ผู้อื่นทำให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้” และ “ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้นส่วนความเพียรนั้นเธอต้องทำเอง”
การปฏิบัติใน โลกุตรธรรม จะได้รับผลในชีวิตปัจจุบัน นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี คำสอนใดๆ ที่สอนให้รับผลหลังตายนั้นไม่มีไม่ใช่พระพุทธศาสนาเพราะ ไม่เป็น อกาลิโก (ไม่ขึ้นต่อกาลเวลา) ต้องขึ้นอยู่กกับกาลเวลา ไม่เป็น สันทิฏฐิโก เพราะพิสูจน์ไม่ได้ ไม่เป็น โอปนยิโก น้อมนำเข้ามาในตัวไม่ได้ และไม่เป็นประโยชน์อะไรกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เลย พระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าประกาศศาสนานั้นมีพุทธประสงค์เพื่อช่วยให้มนุษย์โลกได้พ้นทุกข์ทางใจใช่หรือไม่? เมื่อทุกข์ใจมีอยู่ที่คนเป็นๆ ขณะที่มีชีวิตอยู่ เพราะยังมีกิเลสยังมีทุกข์ ก็ดับกิเลสดับทุกข์เสีย ตอนที่ยังเป็นๆ และจะได้มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีความทุกข์เลย มีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นตัวอย่าง
ผู้ที่ได้ ดวงตาเห็นธรรม ก็จะมีปัญญาหยั่งรู้ได้เฉพาะตนเป็น ปัจจัตตัง จะรู้ผู้อื่นไม่ได้ ผู้อื่นจะรู้แทนไม่ได้ การเป็นพระโสดาบันเป็นผู้เข้ากระแสนิพพานเป็น โลกุตตรภูมิ ขั้นต้น ต่อไปก็จะพัฒนาปัญญาสัมมาทิฏฐิให้สูงขึ้นไปเป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นไปได้เอง การได้ดวงดาเห็นธรรมจึงเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง มีจิตมั่นคงในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างยิ่ง ตลอดชีวิต ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ ดวงตาเห็นธรรม นั้น ยังเป็นพุทธแต่ปาก จึงยังไม่มั่นคงในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เมื่อเกิดความทุกข์ก็จะพึ่งสิ่งภายนอกต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง พึ่งแล้วก็ไม่พ้นไปจากทุกข์ เมื่อเป็นเช่นนี้นานเข้าก็จะเสื่อมศรัทธาต่อพุทธศาสนาเพราะเห็นว่าช่วยให้ดับทุกข์ไม่ได้ อาจหันไป
พึ่งเจ้าพ่อเจ้าแม่ ผีสางนางไม้ เทวดา หมอดู ร่างทรง ฯ เมื่อพึ่งไม่ได้อีก ก็หันไปหายาเสพติดให้โทษต่างๆ เป็นการเพิ่มทุกข์และซ้ำเติมตัวเอง เมื่อเป็นทุกข์มากๆ อาจจะต้องฆ่าตัวตายหรือไม่ก็เปลี่ยนไปนับถือลัทธิหรือศาสนาอื่นได้โดยง่าย ปัจจุบันนี้ มีลัทธิต่างๆ จากต่างประเทศ เช่นไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา แม้แต่ลัทธิแม่มดหมอผีในยุโรปสมัยกลางชื่อว่าลัทธิ “วิกก้า” ซึ่งสมัยนั้นมีโทษหนักถูกจับไปประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็นหลายพันคน ก็มีผู้นำมาเผยแพร่กันในประเทศไทยอย่างเปิดเผยแล้ว และกำลังเป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นคนหนุ่มคนสาว จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงลูกหลานมากขึ้นอีก และจะกระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติและความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยด้วย
ปัจจุบันนี้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยอ่อนแอมาก และได้รับการเบียดเบียนจากภัยภายนอก ภัยภายใน ประชาชนคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาถึง ๙๕ % แต่จะเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงเพียงไม่ถึง ๕ % ทั้งนี้ก็เพราะขาดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง การปูพื้นฐานทางการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าปูพื้นฐานให้เด็กผิดแล้วยากที่จะแก้ให้ถูกต้องได้ ดังคำพังเพยที่ว่า ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก
เมื่อเดือนที่แล้ว (เมษายน ๔๗) มีนักเรียนชายมัธยมปีที่ ๕ แต่ชุดนักเรียนได้มาหาผู้เขียนที่กุฏิ ขอถวายปัจจัย ๑๖ บาท จำนวนเท่าอายุ ถาม เธอนำปัจจัยมาถวายเพื่ออะไร? ตอบ เพื่อสะเดาะเคราะห์ให้ตนเอง เนื่องจากมีข่าวลือว่าผู้ที่มีชื่อ นำด้วยอักษรไทย ๓ ตัว จะเคราะห์ร้าย อาจจะประสบอุบัติเหตุเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ตนเองจะต้องขับขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ทุกวัน รู้สึกไม่สบายใจ จึงได้นำปัจจัยมาถวายพระ ผู้เขียนเห็นว่าเขาไม่มีเวลามาก จึงรับศรัทธาไว้ก่อน แล้วกล่าวว่า “เธออย่าเป็นคนเชื่ออะไรง่ายๆ ให้ศึกษาหาความรู้ ลองถามครูเสียก่อน และต้องมีความไม่ประมาทอยู่ในชีวิตประจำวัน จึงจะลดอันตรายจากอุบัติเหตุลงได้ ให้เชื่อมั่นในกรรมคือการกระทำของเราเอง อย่าไปเชื่อเรื่องเหลวไหล ข่าวเล่าลือต่างๆ นานา จะเชื่ออะไร?นั้นต้องใช้ปัญญาของเอาพิจารณาอย่างมีเหตุมีผล” แล้วเขาก็กลับไป ผู้เขียนคิดว่า วัยรุ่นในปัจจุบันนี้พระไม่มีโอกาสจะสอนเขา ไม่เคยมีวัยรุ่นเข้ามาวัดเพื่อหาความรู้เลย จึงเป็นหน้าที่ของครูที่โรงเรียนจะต้องสอนให้เด็ก เข้าใจวิชาพระพุทธศาสนาให้มากกว่านี้ แต่ก็หาครูที่เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงได้ยากยิ่ง ในเมื่อครูยังเป็นพราหมณ์อยู่จะสอนเด็กให้หลุดจากพราหมณ์ได้อย่างไร? อาจารย์สอนวิปัสสนาสอนมานาน ๔๐–๕๐ ปี จนมีชื่อเสียงมีลูกศิษย์มากมายทั่วประเทศ อย่าเพิ่งประมาท ลองทดสอบดูได้ว่าหลุดจากพราหมณ์ได้หรือยัง (อ่านพุทธไม่ใช่พราหมณ์)
เราจะตรวจสอบความเป็นพุทธบริษัทของเราได้อย่างไร?
ท่านอาจจะตรวจสอบ ความเป็นพุทธบริษัทของท่านเองได้ด้วย การทำข้อสอบพุทธบริษัท ๕๐ ข้อ (แจกฟรี) ด้วยปัญญาของตัวท่านเอง ถ้าพบว่าตัวเองยังสอบไม่ผ่านก็ให้รีบศึกษาและปฏิบัติในโลกุตตรธรรมเสียโดยเร็วเถิด ยังไม่สายเกินไป ไม่มีใครแก่เกินกว่าที่จะเรียน อย่าได้เป็นผู้มืดมาแล้วมืดไปเลย แต่จงเป็นผู้มืดมาแล้วสว่างไปเถิด อย่าประมาทอยู่อีกต่อไปเลย อย่าถือฐิทิว่าเราเป็นอาจารย์วิปัสสนามีชื่อเสียงแล้ว เราเป็นอาจารย์สอนอภิธรรมมานานแล้วไม่ต้องตรวจสอบแล้ว บางครั้งอาจารย์ใหญ่ๆ สอบแล้วอาจจะได้คะแนนน้อยกว่าเด็กชั้นประถมเสียอีก นั่นหมายถึงเด็กชั้นประถมมีความเป็นพุทธบริษัทมากกว่าอาจารย์ดังๆ เหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างแก้ไขได้ เพียงแต่อย่าถือทิฐิ เอาความถูกต้องอย่าเอาแต่ความถูกใจ ธรรมมาธิปไตยเอาธรรมเป็นใหญ่ อย่าให้อัตตาเป็นใหญ่ จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด เมื่อรู้ว่าศึกษามาผิดก็สามารถแก้ไขให้มันถูกได้ ศึกษากันใหม่ได้ ศึกษาโลกุตรธรรมกับศูนย์ศึกษาและเผยแผ่โลกุตรธรรม เสียเดี๋ยวนี้เถิด ดวงตาจะเปิดเห็นธรรม “โยธัมมัง ปัสสติ โสมังปัสสติ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นนเรา” เราจะเห็นพระพุทธเจ้าองค์จริงได้ในชีวิตนี้ ด้วย ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) ที่มีอยู่แล้วในตัวเราเองเท่านั้น
“ความแก่หง่อมย่อมทุลักทุเลมาก
ดั่งคนบอดข้ามฟากฝั่งคลอง
หาวิธีไต่ไผ่ลำคลานคลำมา
กิริยาแสนทุลักทุเลแล
ถ้าไม่อยากให้ทุลักทุเลมาก
รีบข้ามฟากให้พ้นก่อนตนแก่
ก่อนตาบอดหูหนวกสะดวกแท้
ตรองให้แน่แต่เนิ่นเนิ่นรีบเดินเอย.”
“บัวที่บานเต็มที่ยิ่งมีมาก ผู้มีพระภาคยิ่งพอพระทัยยิ่งเหตุดังนั้นบัวที่เริ่มจะบานจริง อย่ากลอกกลิ้งล่อหลุบหุบเสียเอย.”
(พุทธทาสภิกขุ)
“แม้ได้เป็นเอกราชามหากษัตริย์
ครองสมบัติปฐพีนี้ทั้งหมด
แม้ได้เสวยสวรรค์ชั้นโสฬส
หรือเรืองยศวาสนาครองสากล
ยังไม่เลิศประเสริฐเท่าเข้ากระแส
นิพพานแท้คือโสดาปัตติผล
สิ้นกิเลสเลิศสุดมนุษย์ชน
อริยบุคคลควรบูชา”
(พลตรีเดช ตุลวรรธนะ)
พระอริยบุคคลทั้ง ๔ จำพวกนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระอริยสงฆ์ หรือพระสงฆ์ที่แท้จริงในพระรัตนตรัย ไม่ใช่สมมุติสงฆ์ ซึ่งอาจจะยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ได้ พระอริยสงฆ์นั้นเป็นผู้บวชใจ ไม่ใช่เพียงแต่บวชกาย พระอริยบุคคลนั้นพ้นจากสภาวะแห่งการเป็นปุถุชนแล้ว ไม่หวนกลับไปเป็นปุถุชนอีก พระอริยบุคคลไม่จำเป็นจะต้องบวชกาย ท่านอาจจะอยู่ในฐานะทางสังคมต่างๆ กันไป จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายจะอยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัดก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้ามีการปฏิบัติได้ถูกต้องและมีการเจริญวิปัสสนาพัฒนาทางปัญญาอยู่เสมอๆ ก็จะสามารถเข้าถึงโลกุตรธรรมได้ทุกคน ผู้ที่เข้าถึงโลกุตรธรรมแล้ว ก็จะเปลี่ยนจากปุถุชนมาเป็นพระอริยบุคคล และผู้ที่เข้าถึงโลกุตรธรรมขั้นแรกก็คือ พระโสดาบัน นั่นเอง
มนุษย์จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเด็กหรือผู้ใหญ่ ผิวขาว ผิวดำ ทุกชาติทุกภาษา และทุกศาสนามีความเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน จะต่างกันแต่ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมและภาษาพูดเท่านั้น แต่รับรองได้ว่ามนุษย์เหล่านั้นจะต้องมีความทุกข์ และต้องการแสวงหาความดับทุกข์เช่นเดียวกัน จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และเขาก็มีโอกาสที่จะถึงซึ่งความพ้นทุกข์ได้เท่าเทียมกัน ยกเว้นไว้แต่ว่าเขาอยู่ในฐานะอภัพพสัตว์ คือ
สัตว์ผู้ไม่อาจจะรู้ธรรมได้ เช่นผู้ที่กระทำกรรมหนักเอาไว้เรียกว่าอนันตริยกรรม ๕ ประการ คือ.-
๑.ฆ่าบิดา
๒.ฆ่ามารดา
๓.ฆ่าพระอรหันต์
๔.ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
๕.ทำสังฆเภท (ทำสงฆ์ให้แตกแยก)
ผู้ที่ยังไม่เคยได้ทำกรรมหนักฝ่ายอกุศลถึงปานนี้ ย่อมมีความหวังได้ว่าจะเข้าถึงโลกุตรธรรมได้ในชีวิตปัจจุบันนี้ จะต่างกันบ้างก็เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น
การเห็นอริยสัจสี่อย่างถูกต้อง ก็เป็นการเห็นธรรมประการหนึ่ง ข้อสังเกตที่สำคัญ คือจะต้องจับตัวทุกข์ในอริยสัจสี่ให้ถูกต้องเสียก่อนจึงจะเข้าใจอริยสัจสี่ได้ตลอดสาย เพราะถ้าเข้าใจผิดเรื่องตัวทุกข์ อริยสัจข้ออื่นๆ อีก ๓ ข้อก็จะพลอยผิดไปด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น