แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การปฏิบัติในโลกุตรรธรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การปฏิบัติในโลกุตรรธรรม แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดวงตาเห็นธรรม 8


ดวงตาเห็นธรรม 8
                                                                               พระอาจารย์เมธา ชาตเมโธ
     
        จะดับทุกข์ทั้งปวงได้ก็จะต้องเจริญปัญญาและต้องศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างเป็นระบบ อย่างมีเหตุผล เรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ (Truth investigation) และจะต้องตั้งอยู่ในหลัก สวากขาตธรรม ซึ่งเป็นหลักตัดสินพระธรรมของพระพุทธเจ้า ๕ ประการ และเป็นลักษณะของโลกุตรธรรม ที่พุทธบริษัททุกคนจะต้องรู้และนำมาใช้ใน ชีวิตประจำวันคือ

๑. สันทิฏฐิโก เห็นได้ด้วยปัญญาตนเอง ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น
๒. อกาลิโก ทำเมื่อไรได้รับผลทันทีไม่ต้องรอเวลา
๓. เอหิปัสสิโก เรียกให้มาดูความจริงกันได้ พิสูจน์ได้
๔. โอปนยิโก ทำให้มีขึ้นในใจตนเองได้
๕. ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน รู้แทนกันไม่ได้

        เมื่อตนเองรู้เองเห็นเองแล้ว (สันทิฏฐิโก) ก็ไม่ต้องเชื่อใครพูด ไม่ต้องเชื่อเขาว่าอีกต่อไป และทุกคนจะต้องทำเอง ผู้รับประทานอาหารเองย่อมรู้รสอาหารเอง ผู้อื่นจะทานอาหารแต่ให้ผู้อื่นรู้รสแทนไม่ได้ ผู้ใดต้องการจะรู้รสอาหารผู้นั้นจะต้องทานเอง ให้กันก็ไม่ได้ จะใช้เงินซื้อเอาไม่ได้ จะให้ผู้อื่นทำแทนเราก็ไม่ได้ ดังมีพุทธภาษิตว่า “ความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์นั้นเป็นของจำเพาะตน ผู้อื่นทำให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้” และ “ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้นส่วนความเพียรนั้นเธอต้องทำเอง”

        การปฏิบัติใน โลกุตรธรรม จะได้รับผลในชีวิตปัจจุบัน นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี คำสอนใดๆ ที่สอนให้รับผลหลังตายนั้นไม่มีไม่ใช่พระพุทธศาสนาเพราะ ไม่เป็น อกาลิโก (ไม่ขึ้นต่อกาลเวลา) ต้องขึ้นอยู่กกับกาลเวลา ไม่เป็น สันทิฏฐิโก เพราะพิสูจน์ไม่ได้ ไม่เป็น โอปนยิโก น้อมนำเข้ามาในตัวไม่ได้ และไม่เป็นประโยชน์อะไรกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เลย พระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าประกาศศาสนานั้นมีพุทธประสงค์เพื่อช่วยให้มนุษย์โลกได้พ้นทุกข์ทางใจใช่หรือไม่? เมื่อทุกข์ใจมีอยู่ที่คนเป็นๆ ขณะที่มีชีวิตอยู่ เพราะยังมีกิเลสยังมีทุกข์ ก็ดับกิเลสดับทุกข์เสีย ตอนที่ยังเป็นๆ และจะได้มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีความทุกข์เลย มีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นตัวอย่าง
        ผู้ที่ได้ ดวงตาเห็นธรรม ก็จะมีปัญญาหยั่งรู้ได้เฉพาะตนเป็น ปัจจัตตัง จะรู้ผู้อื่นไม่ได้ ผู้อื่นจะรู้แทนไม่ได้ การเป็นพระโสดาบันเป็นผู้เข้ากระแสนิพพานเป็น โลกุตตรภูมิ ขั้นต้น ต่อไปก็จะพัฒนาปัญญาสัมมาทิฏฐิให้สูงขึ้นไปเป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นไปได้เอง การได้ดวงดาเห็นธรรมจึงเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง มีจิตมั่นคงในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างยิ่ง ตลอดชีวิต ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ ดวงตาเห็นธรรม นั้น ยังเป็นพุทธแต่ปาก จึงยังไม่มั่นคงในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เมื่อเกิดความทุกข์ก็จะพึ่งสิ่งภายนอกต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง พึ่งแล้วก็ไม่พ้นไปจากทุกข์ เมื่อเป็นเช่นนี้นานเข้าก็จะเสื่อมศรัทธาต่อพุทธศาสนาเพราะเห็นว่าช่วยให้ดับทุกข์ไม่ได้ อาจหันไป
        พึ่งเจ้าพ่อเจ้าแม่ ผีสางนางไม้ เทวดา หมอดู ร่างทรง ฯ เมื่อพึ่งไม่ได้อีก ก็หันไปหายาเสพติดให้โทษต่างๆ เป็นการเพิ่มทุกข์และซ้ำเติมตัวเอง เมื่อเป็นทุกข์มากๆ อาจจะต้องฆ่าตัวตายหรือไม่ก็เปลี่ยนไปนับถือลัทธิหรือศาสนาอื่นได้โดยง่าย ปัจจุบันนี้ มีลัทธิต่างๆ จากต่างประเทศ เช่นไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา แม้แต่ลัทธิแม่มดหมอผีในยุโรปสมัยกลางชื่อว่าลัทธิ “วิกก้า” ซึ่งสมัยนั้นมีโทษหนักถูกจับไปประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็นหลายพันคน ก็มีผู้นำมาเผยแพร่กันในประเทศไทยอย่างเปิดเผยแล้ว และกำลังเป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นคนหนุ่มคนสาว จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงลูกหลานมากขึ้นอีก และจะกระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติและความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยด้วย