ดวงตาเห็นธรรม 3
พระอาจารย์เมธา ชาตเมโธ
“ถ้าโลกุตรธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ ถ้าโลกุตรธรรมระบาดโลกธาตุจะสงบเย็น” (พุทธทาสภิกขุ)เมื่อครั้งที่พระพุทะเจ้าส่งพระอรหันต์สาวกรุ่นแรก ๖๐ องค์ ออกไปประกาศพระพุทธศาสนา พระองค์ตรัสว่า “จรถะ ภิกขะเว จาริกัง จารมาโน พาหุชะนะหิตายะ พาหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะฯ ” มีใจความว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอเป็นผู้ที่พ้นแล้วจากบ่วงอันเป็นของมนุษย์ และบ่วงอันเป็นของทิพย์ เธอทั้งหลายจงไป จาริกไป เพื่อประกาศพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ให้งดงามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และในที่สุด เพื่อประโยชน์แก่มหาชน เพื่อความสุขแก่มหาชน เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก เธอทั้งหลายอย่าไปทางเดียวกัน ๒ องค์ ให้แยกกันไปองค์ละทาง”
ที่ว่าให้แยกกันไปคนละทางนั้น ก็เพื่อให้ได้พื้นที่กว้างไกลมากที่สุด ถ้าไปทางเดียวกัน ๒ องค์แล้วก็จะเปลืองคน เพราะไปพูดเรื่องเดียวกัน คือประกาศพรหมจรรย์ แปลว่า การทำจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลส เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ให้พ้นทุกข์ พระองค์ไม่ได้ให้ไปสอนโลกียธรรมอันมีพื้นฐานอยู่บนสมมุติสัจจะและยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ จึงไม่พ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง แต่พระองค์ให้ไปสอนวิธีทำจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งโลกียธรรมนั้นจะช่วยไม่ได้เลย มีธรรมะประเภทเดียวเท่านั้นที่จะทำจิตมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้นั้นคือ โลกุตตรธรรม (Supra mundane states)
พระพุทธเจ้าก็เปรียบเหมือนลูกไก่ตัวพี่เพื่อนที่ออกมาจากไข่ แม่ไก่ฟักไข่กี่ฟองก็ตาม ลูกไก่ไม่ได้ออกมาจากไข่พร้อมกัน แต่จะมีตัวหนึ่งออกมาจากไข่ก่อนตัวอื่นเรียกว่า ลูกไก่ตัวพี่เพื่อน เปลือกไข่เปรียบเหมือน อวิชชา ปากลูกไก่ที่แข็งแรงและแหลมคม เปรียบเหมือนวิชชา (ปัญญา) เจาะเปลือกไข่ออกมาได้ก่อน เป็นตัวแรก นี่เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้ได้โดยพระองค์เอง แล้วพระองค์ทรงมีความกรุณาอันยิ่งใหญ่ ช่วยบอกวิธีที่จะเจาะเปลือกไข่ออกมา เพื่อช่วยให้ลูกไก่ตัวอื่นๆ เจาะเปลือกไข่ออกมาเป็นอิสระเหมือนพระองค์บ้าง ลูกไก่ตัวอื่นๆ จึงเป็นเพียงรู้ตามไม่ได้ตรัสรู้ด้วยตนเอง จึงเรียกว่า พระอนุพุทธะ หรือพระอรหันตสาวก
มีคำถามว่า ปัจจุบันนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่อีกหรือไม่? ข้อนี้ในพระคัมภีร์บอกไว้เป็นพุทธภาษิตว่า “สมัยใดก็ตามถ้าหากว่ายังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ (ถูกต้อง) อยู่ สมัยนั้นโลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์”
การที่คิดกันเอาเองว่า สมัยพุทธกาลมีคนน้อยพระอรหันต์จึงมีมาก สมัยนี้คนมากพระอรหันต์จึงน้อยลง หรือสมัยก่อนคนทำดีมากจึงมีพระอรหันต์มาก สมัยนี้คนทำดีน้อยจึงมีพระอรหันต์น้อย สมัยก่อนคนมีบุญมามาสมัยนี้คนมีบาปมาก อย่างนี้เป็นเพียงการคาดคะเนเอาเท่านั้น แต่พระอรหันต์จะมากขึ้นหรือน้อยลงนั้นมิใช่อยู่ที่จำนวนคนมากหรือน้อย แต่อยู่ที่การปฏิบัติถูกต้อง (เป็นสัมมา) หรือไม่เป็นสำคัญ และเรื่องนี้ไม่มีใครจะตอบเราได้ดีไปกว่าตัวเราเอง เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นปัจจัตตัง ทำเองรู้เอง ปฏิบัติเองได้รับผลเอง ไม่สามารถจะทำแทนกันได้ หรือรับผลแทนกันได้ จะให้กันก็ไม่ได้ จะซื้อขายกันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครอยากได้ ใครอยากจะรู้ก็จะมีวิธีเดียวเท่านั้นคือ ตัวเองจะต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เป็น สันทิฏฐิโก พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เมื่อเห็นด้วยตนเองแล้วก็ไม่ต้องเชื่อใครอีกต่อไป เป็น ปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน จะไปรู้ผู้อื่นไม่ได้ รู้แทนกันไม่ได้
ที่พระพุทธเจ้าประกาศธรรมก็เพื่อบอกวิธีทำจิตให้บริสุทธิ์ เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้วก็จะเปลี่ยนจากปุถุชน ไปเป็นพระอริยบุคคล ๔ จำพวก คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ถ้าจิตยังไม่บริสุทธิ์ ๑๐๐ % ยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็เป็นพระอริยบุคคล ๓ จำพวกข้างต้น ถ้าจิตบริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ ๑๐๐ % ก็เป็นพระอรหันต์ และทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็อยู่ในชีวิตประจำวันในปัจจุบันนี้เอง
ในบทสวดสรรเสริญพระธรรมคุณทำนองสรภัญญะว่า
“ธรรมะคือคุณากรส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชัชชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมน ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน สมญาโลกอุดรพิศดาร อันลึกโอฬาร พิสุทธิ์พิเศษสุกใส อีกธรรมต้นทางครรไล นามขนานขานไข ปฏิบัติปริยัติเป็นสอง คือทางดำเนินดุจคลอง ให้ล่วงลุปอง ยัง โลกอุดร โดยตรง ข้าขอโอนอ่อนอุตตมงต์ นพธรรมจำนง ด้วยจิตและกายวาจา”
จับใจความได้ว่า โลกุตรธรรมคือ มรรค ๔ ผล ๔ และนิพพาน ๑ เป็นโลกุตรธรรม ๙ ประการ ให้ล่วงลุปองยังโลกอุดรโดยตรง นั่นคือการปริยัติปฏิบัติที่จะนำไปสู่โลกุตรธรรม (โลกอุดร) นั่นเอง ธรรมะของพระพุทธองค์เป็นโลกุตรธรรมเท่านั้น (อ่านโลกุตธรรมคืออะไร?) การเปลี่ยนสภาพจากปุถุชนไปสู่ฐานะพระอริยบุคคลนั้น เปรียบเหมือนกับนักปฏิวัติ (เปลี่ยนแปลงในสร้างสรรค์) ที่ทำการปฏิวัติตนเองให้เป็นพระอริยบุคคลให้ได้ โดยอาศัยจากหลักวิชาหรือทฤษฎีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เปรียบเหมือนนักปฏิวัติตนเอง (Self-revolution) คนแรกของโลก ต่อมาก็มีนักปฏิวัติตนเองตามอย่างพระองค์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ผู้ที่ปฏิวัติตนเองได้สำเร็จ เรียกว่า “มนุษย์ปฏิวัติ” (Human-revolution) พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทุกองค์เป็นมนุษย์ปฏิวัติ บุคคลใดที่ไม่ยอมปฏิวัติตนเองก็จะต้องอยู่ในสภาพของปุถุชนเป็นทาสกิเลสตัณหาไปจนตาย คนประเภทนี้ทางพุทธศาสนาเรียกว่า “โมฆบุรุษ” เป็นชีวิตที่ไร้ค่าเป็นผู้มืดมามืดไปเท่านั้นเอง ธรรมใด ใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำไม่น้อมธรรมนำทางสว่างไสว
คงเกิดเปล่าตายเปล่าเข้าโลงไป ชีวิตนี้ไร้ค่าน่าเสียดาย
อานิสงส์ของการได้ดวงตาเห็นธรรม มี ๑๕ ประการคือ
๑. เป็นผู้ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้หมด
๒. เป็นผู้เห็นการเกิดที่เป็นทุกข์ได้ถูก
๓. เป็นผู้ที่เห็นการเกิดที่เป็นภัยได้ถูก
๔. เป็นผู้เห็นกรรมและผลของกรรมได้ถูก
๕. เป็นผู้เห็นการเวียนว่ายและการเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ
๖. เป็นผู้เห็นความสุขที่เที่ยงได้ถูก
๗. เป็นผู้ไม่หลงดับทุกข์ผิดๆ เช่นฆ่าตัวตาย
๘. เป็นผู้ไม่ลังเลสงสัยในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
๙. เป็นผู้ไม่ทำร้ายตัวเองและผู้อื่นด้วยอาวุธทุกชนิด
๑๐. เป็นผู้มีสุขภาพจิตที่ดีอยู่ตลอดเวลา
๑๑. เป็นผู้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงของมนุษย์
๑๒. เป็นผู้เข้ากระแสนิพพานไม่กลับมาเป็นปุถุชนอีก
๑๓. เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงทั้งปากและใจ
๑๔. เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน
๑๕. เป็นผู้ที่เที่ยงต่ออรหัตตผล
“แม้ได้เป็นเอกราชามหากษัตริย์
ครองสมบัติปฐพีนี้ทั้งหมด
แม้ได้เสวยสวรรค์ชั้นโสฬส
หรือเรืองยศวาสนาครองสากล
ยังไม่เลิศประเสริฐเท่าเข้ากระแส
นิพพานแท้คือโสดาปัตติผล
สิ้นกิเลสเลิศสุดมนุษย์ชน
อริยบุคคลควรบูชา”
(พลตรีเดช ตุลวรรธนะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น