วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความแตกต่างระหว่างพุทธกับพราหมณ์

ความแตกต่างระหว่างพุทธกับพราหมณ์
                                                              พระเมธา ชาตเมโธ

 
     ๑.พราหมณ์เชื่อว่ามีพระเจ้า คือพระพรหมเป็นผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ เป็นศาสนาประเภทเทวนิยม (Theism)                 
     -พุทธไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า โลกและมนุษย์เกิดจากเหตุปัจจัยตามธรรมชาติ เป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม (Atheism)
 
     ๒.พราหมณ์ใช้วิญญาณอัตตา (Soul)  เป็นวิญญาณของพระเจ้า เมื่อมนุษย์ตาย วิญญาณจะกลับไปอยู่กับพระเจ้า รับใช้พระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นจินตนาการของมนุษย์ ไม่ใช่สัจธรรม     
-พุทธใช้วิญญาณอนัตตา หรือวิญญาณธาตุรู้ (Conscious elemevnt) เกิดจากเหตุปัจจัย และจะดับไปเมื่อสิ้นเหตุปัจจัย  เป็นสังขตธรรม (Conditioned thing) มีอยู่ในคนเป็นๆ คือคนมีชีวิต ส่วนคนตายไม่มีวิญญาณ  ซึ่งเป็นสัจธรรมสากล
 
    ๓.พราหมณ์สอนเรื่องกรรมที่ติดตามวิญญาณอัตตาไป  หลายภพหลายชาติ มีชนกกรรม กรรมนำวิญญาณไปเกิด  ในภพภูมิต่างๆ มนุษย์เป็นไปตามกรรมเก่าในอดีตชาติ  หรือเป็นเพราะพรหมลิขิต  (พระเจ้าบันดาล) ควบคุมไม่ได้ 
     พุทธสอนกรรมคือการกระทำทางกายวาจาใจ ให้ผลทันทีที่ทำเป็นเรื่องของจิตใจ  (มโนกรรม) ส่วนผลทางวัตถุนั้น เป็นผลพลอยได้เท่านั้น มนุษย์สามารถควบคุมกรรมได้ และทำให้สิ้นกรรมได้ภายในชีวิตนี้  ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นทางสายกลาง
 
     ๔.พราหมณ์มีการแบ่งชั้นวรรณะ เป็น ๔ วรรณะคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพทศ์ ศูทร   พราหมณ์กำหนดให้วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะประเสริฐ  วรรณะอื่นเลว วรรณะพราหมณ์ขาว วรรณะอื่นดำ ความมุ่งหมายในการแบ่งชั้นวรรณะของพราหมณ์ ก็เพื่อที่ยกวรรณะของตนเองให้สูงส่ง  เป็นผู้มีบุญมาเกิด เป็นหนทางให้ได้อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข  ทำให้วรรณะพราหมณ์ได้เปรียบทางสังคม กดขี่วรรณะอื่นลงเป็นทาส ด้วยสอนให้กลัวพระเจ้า เทวดา ภูตผี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวัตถุมงคล ให้ยอมรับว่าเป็นกรรมเก่าในอดีตชาติ แก้ไขไม่ได้เป็นลัทธิยอมจำนน   ทำกรรมในชาตินี้จะได้รับผลกรรมในชาติหน้า
-พุทธไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ พระพุทธเจ้ารับบวชทุกวรรณะ ถือว่ามีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน  พระองค์ตรัสว่า “มนุษย์จะดีหรือชั่วมิได้ขึ้นอยู่กับชั้นวรรณะหรือชาติกำเนิด แต่ขึ้นอยู่กับกรรมคือการกระทำของตนเอง ถ้าเกิดในตระกูลสูงถ้าทำความชั่วคนนั้นย่อมเป็นคนชั่ว  ถ้าเกิดในตระกูลต่ำถ้าทำความดีคนนั้นก็เป็นคนดี” กรรมเป็นอกาลิโก ปฏิบัติและให้ผลได้ในชีวิตนี้
 
      ๕.พราหมณ์สอนไม่มีตัวทุกข์ในอริสัจสี่  จะสุขหรือทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้า เรียกว่าพรหมลิขิต (อิสรนิมมานเหตุวาท) จึงต้องอ้อนวอนบวงสรวงพระเจ้า ด้วยเลือดและชีวิตของมนุษย์และสัตว์  มีพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ เป็นต้น โดยจ้างพราหมณ์ให้เป็นผู้ทำพิธี
    -พุทธสอนว่ามีตัวทุกข์คืออุปาทานขันธ์  จึงสามารถดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง  โดยการถอนอุปาทานขันธ์  สามารถปฏิบัติได้ตามนัยยะแห่งอริยมรรค มีองค์ ๘  ได้รับผลเป็นโลกุตรภูมิ ภูมิที่เหนือความทุกข์  สามารถดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง  โดยไม่ต้องจ้างใครมาทำพิธีอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วย แต่ช่วยตัวเองตามหลักตนเป็นที่พึ่งแก่ตน
 
       ๖.พราหมณ์สอนนรก-สวรรค์  เป็นเรื่องนอกตัว นรกอยู่ใต้ดิน มี ๘ ขุมใหญ่ มีขุมย่อยอีกมาก สวรรค์อยู่บนท้องฟ้ามี ๖ ชั้น รูปพรหมอีก ๑๖ ชั้น อรูปพรหมอีก ๔ ชั้น  วิสุทธิภูมิอีก ๕ ชั้น จะถึงได้จะต้องตายเสียก่อน      
-พุทธสอนนรก-สวรรค์อยู่ในใจ เมื่อเกิดผัสสะในชีวิตประจำวัน  เป็นสันทิฏฐิโกสามารถควบคุมได้  เกิดความโลภเป็นเปรต เกิดความโกรธ เป็นสัตว์นรก เกิดความกลัวเป็นอสุรกาย  เกิดความหลงเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น เกิดหิริ โอตตัปปะ เป็นเทวดา เกิด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นพรหม เกิดขึ้นทันทีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องรอหลังตาย

       ๗.พราหมณ์สอนการเวียนว่ายตายเกิด คือ การเวียนว่ายของวิญญาณอัตตา  จะทำได้ต้องตายเสียก่อน
-พุทธสอนการเวียนว่ายตายเกิดคือการเวียนว่ายของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน  ในขณะยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเกิดกิเลสดี ภพชาติดี ถ้าเกิดกิเลสชั่ว ภพชาติชั่ว  ถ้าสิ้นกิเลสก็สิ้นภพสิ้นชาติ  คือถึงนิพพาน  พระพุทธเจ้าสอนว่าวัฏฏะ ๓ คือ ๑.กิเลส ๒.กรรม       ๓.วิบาก เท่านั้น  ไม่มีการเวียนว่ายของวิญญาณ
 
      ๘.พราหมณ์สอนนิพพานคือ การที่วิญญาณไม่ต้องไปเกิดอีก เข้าถึงได้หลังตายแล้ว ไม่มีประโยชน์กับผู้ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เพราะ เป็นเพียงจินตนาการของมนุษย์  เท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” แปลว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง  ตายแล้วไม่เกิดอีกใครได้รับความสุข และนิพพานเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง  ตายแล้วสูญใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์
-พุทธสอนนิพพานคือ ความดับทุกข์ใจในชีวิตปัจจุบัน เป็นอกาลิโก ให้ผลทันที ไม่ต้องรอรับผลหลังตาย  เป็นการตายก่อนตาย คือตายกิเลส ก่อนที่จะตายชีวิต  มีประโยชน์มาก  เป็นปรมัตถประโยชน์  และมีความสุขมากเป็นบรมสุข  เพราะได้นิพพานสุขแล้วจะไม่ต้องกลับมามีความทุกข์อีกจนตลอดชีวิต ตัวอย่างเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ อายุ ๓๕ พรรษา ได้ตรัสรู้ถึงนิพพานแล้ว ยังมีชีวิตอยู่อีก ๔๕ พรรษา จึงจะสิ้นชีวิต ระหว่างนั้นพระองค์จะไม่มีความทุกข์เลย
 
       ๙.แก่นคำสอนพราหมณ์  สอนให้เชื่อเรื่องกรรมข้ามภพข้ามชาติ เรื่องเวียนว่ายตายเกิดของวิญญาณอัตตาหลังตาย  จึงสอนเรื่องกรรมให้ทำดีในชาตินี้เพื่อไปรับผลดีในชาติหน้า ชีวิตในชาตินี้คือผลของกรรมในชาติก่อน ซึ่งเป็นคำสอนนอกพุทธศาสนา เรียกว่า ปุพเพกตเหตุวาท  เป็นโลกียธรรม และยึดหลักอัตตา ในเมื่อเข้าใจผิดว่าวิญญาณเป็นทุกข์ก็หวังจะดับวิญญาณหลังตาย  เรียกว่าเข้าโมกษะ  ที่เห็นว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ก็จะหนีทุกข์ด้วยการดับชีวิต (ฆ่าตัวตาย) จะดับวิญญาณหลังตาย หรือจะดับชีวิต ก็ล้วนแต่เป็นเป็นสีลพตปรมาสทั้งสิ้น  (เป็นการปฏิบัติดับทุกข์ที่ผิด)       
-แก่นคำสอนพุทธ สอนเรื่องกรรมคือการกระทำ มีกรรมดี กรรมชั่ว และการสิ้นกรรม เป็นโลกุตรธรรม  ยึดมั่นในหลักอนัตตาสามารถทำได้ในชีวิตนี้ ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน  ตอนเป็นๆ แล้วจะไม่เกิดอีก คือไม่เกิดตัวกู ของกู อีกต่อไป  จึงมีชีวิตอยู่ในโลกโดยไม่มีทุกข์  พุทธสอนเพื่อยกระดับจิตใจของมหาชนให้พ้นความโง่งมงาย (ดับอวิชชา) เลิกกลัวพระเจ้า เทวดาภูตผีปีศาจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวัตถุมงคล พุทธมีแต่ธรรมมงคล ๓๘ ประการ เท่านั้น ไม่มีวัตถุมงคล พุทธสอนให้มหาชนมีชีวิตอิสระและปราศจากทุกข์ในชีวิตนี้  ไม่ว่าเป็นชาวบ้านหรือนักบวช ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้ามีสติปัญญาเพียงพอที่จะดับอวิชชาได้  ก็สามารถเข้าถึงนิพพานคือความดับทุกข์ได้เหมือนกันหมด ดังมีพุทธภาษิตว่า “คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนบรรลุถึงวิมุตติแล้วในวันนี้ ไม่แตกต่างจากพระภิกษุบรรลุถึงวิมุตติมาแล้ว ๑๐๐ ปี” เจริญพร (ธรรมบท ขุททกนิกาย)
          ๑๐.พราหมณ์สอนว่ามีเทวดา ๔ องค์ เรียกว่าจาตุโลกบาลทั้ง ๔ เป็นผู้รักษาคุ้มครองโลกทั้ง ๔ ทิศ -พุทธศาสนาสอนว่า หิริ ความละอายต่อบาป และโอตตัปปะ ความกลัวต่อบาป เป็นผู้รักษาคุ้มครองโลกทั้ง ๔ ทิศ     พระอาจารย์เมธา ชาตเมโธ (๑๗ ส.ค.๕๖)
 
    ศูนย์โลกุตรธรรมแห่งประเทศไทยเปิดสอนหลักสูตร ดวงตาเห็นธรรม ทุกวันอาทิตย์ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๗.๐๐ น.ที่วัดกระโจมทอง บางกรวย นนทบุรี สนใจสมัครเรียนได้ที่  น.ส.พวงศรี ธานีโต โทร.๐๘ – ๐๑๒๔ – ๘๒๓๕ (หัวหน้าชั้น)

2 ความคิดเห็น: